Day 33 การเผชิญหน้ากับ Red Bear 1


เมื่อผมตื่นขึ้นมาผมพยายามที่จะลุกออกจากที่นอน แต่ร่างกายกลับ รู้ สึกหนัก ผมไม่สามารถที่จะยกแขนทั้ง สองข้างของผมได้ "เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย"  พอผมลองมองไปที่แขนทั้งสองข้างกลับพบว่า ก้อบมิจัง นอนทับของแขนผมอยู่ ส่วนทางด้านซ้ายสาวผมแดงกำลังนอนทับอยู่อีกข้างเหมือนกัน
นี่สินะที่เขาเรียกว่ากันว่าการนอนหนุนแขน ซึ่งมันทาให้เลือดไม่ไหลไปหล่อเลี้ยงแขนจนชาไปหมด

ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้นะ ?
ผมพยายามที่จะเอาแขนทั้งสองข้างของผมที่มีอาการชาอยู่ออกจากหัวของพวกเธอแต่ก็ทำไม่ได้เพราะพวกเธอกำลังนอนหลับกกันอย่างมีความสุขแต่สิ่งที่ผมอยากจะถามเลยก็คือ ก็อบมิจังถึงขึ้นมาที่เตียงของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ส่วนแม่สาวผมแดงผมจำได้ ว่าเธอแอบมานอนกับผมเมื่อคืนนี้
ผมคิดว่าก็อบมิจัง คงจะมีความสามารถในการซ่อนตัว [Hiding] โดยที่ความสามารถเซ็นเซอร์ตรวจจับ [Presence Sensor] ไม่สามารถตรวจจับเธอได้ 

ไม่ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ที่ผมจะตรวจจับเธอไม่ได้ เซ็นเซอร์ตรวจจับ ถ้าไม่มีความต้องการที่จะฆ่า หรือ ทำร้ายนั้นอาจจะไม่ ทำงาน ก็เป็นไปได้ หรือเพราะผมรู้สึกเพลียจากการต่อสู้กับม้าสามเขากันแน่นะจึงทำให้ผมไม่ทันระวัง



ในขณะที่ผมกำลังคิดหาทางออกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้่นอยู่ตอนนี้   ฮ้อบเซย์ก็เดินผ่านมาพอดี ฮ้อบเซย์ คือฮ้อบก้อบลินที่ใช้ เวทมนต์ได้
ถึงเธอจะเห็นเป็นสิ่งไม่สำคัญแก่ตัวเธอ ผมส่งสายตาอ้อนวอนให้ เธอช่วยเอาผมออกไปจากตรงนี้ที แต่เธอกลับหัวเราะแล้วก็หยิบหนังสือเล่มโปรดในกล่องเก็บของของผมไป นั่นก็คือ หนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเวทมนต์ฉบับพื้นฐาน เล่ม 2 และ เล่ม 3 จากนั้นเธอก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดี

เธอควรจะกลับมา กลับมาช่วยผมก่อนนนน

หลังจากนั้น ก็อบคิจิกลับมาจากการฝึกฝนช่วงเช้าพร้อมกับถือขวานคู่ใจของเขา พอเห็นผมในสภาพดังกล่าว ผมส่งสายตาอ้อนวอนให้กับก๊อบคิจิเช่นเดียวกับ ก็อบเซย์ เขารู้สึกลำบากใจอยู่พักนึง จากนั้นก็เอามือกดขวานลงแล้วสวดภาวนาให้ผมก่อนที่จะจากไปด้วยรอยยิ้มอันร่าเริงของเขา เฮ้ นายต้องไม่ทำกับฉันแบบนี้สิ

โฮ่ยย เพื่อนรักก นายต้องช่วยฉันนะเฟ้ยย นายจะไม่ช่วยฉันจริงๆหรอ ?

หลังจากที่ ก้อบคิจิ จากไป ก้อบเอะจังก็เดินหาวผ่านมาโดยไม่สนใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนเมื่อเร็ว ๆ นี้เธอได้เข้าร่วมในการรวบรวมอัญมณีที่สวยงามเช่น "Spirit Stones" เธอดูเหมือนจะได้ก่อตั้งกลุ่มทำเหมืองแร่หินจิตวิญญาณร่วมกับสาวก๊อบบลินอื่นๆ เมื่อพิจารณาถึงนิสัยของเธออาจเป็นเวลาพักผ่อนก่อนการฝึกตอนเช้าก็ได้นะ

ผมส่งสายตาอ้อนวอนขอร้อง เธอยิ้มให้อย่างเกรี้ยวกราดราวกับจะพูดว่า "ฉันไม่สามารถช่วยได้หรอกนะ" ผมคิดว่า "เธอก็จะไปด้วยอีกคนเหรอ?" แต่แล้วเธอก็เห็นอะไรบางอย่างและก็รีบวิ่งจากไป 

ช่วยฉันด้วยย!!......แขนฉันเริ่มจะไม่รู้สึกอะไรแล้วว

คำขอร้องอ้อนวอนของผมส่งไปไม่ถึงซักคนเดียว และแน่นอนผมถูกทิ้งไว้แบบนี้ T_T

มีบางคนนะที่แวะมาดูผมเป็นระยะๆ แต่กลับไม่มีใครช่วยผมซักคนเดียว

หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงนึง พวกเธอก็ตื่นขึ้น เพราะผมคิดว่ามันเริ่มจะเป็นอันตรายต่อแขนของผมแล้วล่ะ ผมจึงพยายามดิ้นและขยับแขนเล็กน้อยจนพวกเธอรู้สึกตัว 

ว่ากันตรงๆเลยนะเวลาคนเราหลับอย่างเอาเป็นเอาตายนี่มันไม่รู้สึกตัวจริงๆว่าใครจะเอาแขนมาหนุนเป็นหมอน รู้สึกอีกทีก็ตื่นมาแขนชาไปหมดแล้วเนี่ยแหละ

หลังจากนั้นผมก็กินอาหารฝีมือสองพี่น้องที่เตรียมไว้ให้ และเริ่มฝึกในช่วงเช้า

ฝีมือของทุกคนพัฒนาไปไกลจนน่ากลัวมากๆ

เอ๋ !? ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก้อบคิจิคุงเล่าให้ผมฟังว่า 
" ตั้งแต่การตายของหัวหน้าฮ้อปก้อบลินตัวนั้น ทุกคนก็เข้าใจว่าการที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงจะต้องเอาชนะข้อจำกัดของตัวเองให้ได้เสียก่อน " พอพูดจบผมก็มีไอเดียร์ดีๆในการฝึกแบบใหม่ให้กับพวกก้อบลิน

เนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้จำนวนของพวก ก้อบลินเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผมต้องเพิ่มการฝึกรูปแบบใหม่ๆ

ก็อบคิจิคุง คอยดูแลพวกที่มีความสามารถทางด้านป้องกันและการต่อสู้ในแนวหน้า บทบาทนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้บัญชาการหลักของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธแนวหน้า เราเรียกพวกเขาว่า "Revolution"

ผมยังไม่ได้แนะนำ ฮ้อปก้อบลิน คนสุดท้ายเลยสินะ เธอมีชื่อว่า ฮ้อปซาโต้ เธอได้รวบรวมก้อบลินที่เชี่ยวชาญการต่อสู้สไตล์บุกจู่โจมแล้วถอยกลับ และกลายเป็นกองกำลังติดอาวุธเบาที่เชี่ยวชาญในการเคลื่อนไหวได้คล่องตัว หน่วยนี้ผมจึงตั้งชื่อให้พวกเขาว่า "Red Surge"

ก็อบมิจัง จะรวบรวมเหล่าคนที่ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดต่ำและจัดให้ใช้อาวุธจำพวกธนูและหน้าไม้ ชื่อของพวกเขาคือ "Tirard"

ก็อบเอะจัง รวบรวมผู้ที่ไม่มีความสามารถทางด้านต่อสู้ แต่ผมตัดสินใจฝึกให้เน้นที่การป้องกันโดยที่หน่วยนี้จะมุ่งเน้นไปที่การทำอาหารและซ่อมแซมแก้ไขอุปกรณ์ที่เสียหาย เราเรียกหน่วยนี้ว่า "Patri"

ฮ้อปเซย์เป็นคนเดียวยกเว้นผม ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากให้เธอฝึกเองคนเดียว และแต่งตั้งให้เธอเป็นผู้บัญชาการของหน่วยนักเวทย์ "Argony" (ถึงทั้งหน่วยจะมีนางอยู่คนเดียวก็ตาม = ='' )

ด้วยวิธีการแบ่งหน่วยจัดทีมที่แตกต่างการทำให้ผมทราบจำนวนก้อบลินทั้งหมด 59 คน มี 39 คน จากรุ่นของพวกเราและบวกอีก 28 จากพวกรุ่นก่อนๆ ลบด้วย 8 คนจากพวกที่โดนผมทรมานจนตาย

แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ไม่มีใครเลยกล้าสู้กับผมแม้ผมจะใช้ดาบไม้ก็ตาม

ถือเป็นเรื่องที่ดีนะ ที่ผมชนะได้เลยโดยไม่ต้องต่อสู้ ฮ่าๆ

แต่ถ้าให้ผมสู้กับ ก็อบคิจิคุง ก็อบมิจัง และฮ้อปเซย์ แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ผมก็ยังสามารถเอาชนะพวกเขาได้ง่ายๆอยู่ดี แต่มันคงไม่เป็นเรื่องดีนักเพราะจะทำให้ตำแหน่งที่ผมตั้งให้พวกเขาดูไม่มีค่า

หลังจากนั้นก็ถึงเวลาสำหรับการล่ฟาช่วงบ่าย เวลานี้ทุกคนมีสิ่งที่ต้องทำดังนั้นผมจึงไปคนเดียว ก๊อบคิจิคุง ถูกถามโดย ก้อบลิน ที่อยู่ภายใต้การนำของเขาเพื่อฝึกซ้อมกับเขาในช่วงบ่าย 
ก้อบมิจัง ยังคงสอน ก้อบลิน ที่ไม่สามารถจดจำสิ่งต่างๆได้เช่นการจัดลำดับ,ตัวอักษรของทวีป และกฎง่ายๆที่ผมปรับปรุงขึ้น
และ ก้อบเอะจัง อยู่ข้างในพร้อมกับสมาชิกกลุ่มของเธอเพื่อขุดแร่ "Spirit Stone" ในหมือง

หลังจากออกเดินทาง มอนสเตอร์ตัวแรกที่ผมได้เห็นคือ Demon Spider

ผมฆ่ามันตามปกติและฉีกกระดองของมัน กระดองของปีศาจแมงมุมมีประโยชน์เพราะคุณสามารถเพิ่มความเหนียวได้โดยใช้ [Sell Defense] ด้านบนของมันบางและแข็งแรง

[ก้อบโรว ได้รับ "กระดองคุณภาพสูง" !!]

หลังจากนำกระดองใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วผมก็กินแมงมุมทั้งหมด เนื่องจากแมงมุมปีศาจไม่ได้เป็นแมงมุมที่กินได้รสชาติจึงไม่ค่อยดีนัก

ความสามารถ [Expanded Field of Vision] ได้เรียนรู้แล้ว

เพราะผมรู้สึกดีที่ได้รับความสามารถใหม่ๆ จะทำเป็นมองไม่เห็นกับรสชาติแย่ๆก็แล้วกันนะ

จากนั้นผมก็พบกับม้าสามเขา คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนมีเพียงอย่างเดียวคือเป็นศัตรูที่สมบูรณ์แบบในการทดลองใช้เวทมนตร์ [End] ของผม ดังนั้นผมจึงเริ่มเตรียมการเพื่อใช้เวทมนตร์ของผม

เกี่ยวกับเวทมนตร์มักจะมีส่วนประกอบสามอย่างที่ต้องเชื่อมต่อ
ประการแรกคือการร่ายของ [Spell] เพื่อให้เกิดผลต่อการทำงาน
ประการที่สอง [Mana Control ] เพื่อปรับปริมาณพลังเวทย์ที่จำเป็นภายในร่างกายและประการสุดท้ายคือ [External Mana Operation] เพื่อควบคุมการก่อตัวของเวทมนตร์เองโดยใช้พลังวิเศษภายนอกร่างกายนั่นคือพลังวิเศษที่เต็มไปด้วยอากาศ

นอกจากนี้เนื่องจากส่วนที่สาม [External Mana Operation] มีความยากกว่าอีกสองเท่าของหลาย ๆ ครั้งโดยปกติแล้วจะใช้อุปกรณ์ช่วยร่ายเช่น magic staves ในระหว่างการร่ายมนต์

ดังนั้นผมพร้อมแล้วสำหรับการใช้เวทย์มนต์แม้ต่อให้ผมถือคทาเอาไว้ในมือ แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างจากการร่ายมนต์ด้วยมือของผมเอง

ผมเตรียม[Black Lance]ที่ผมสร้างด้วยเวทมนตร์จากนั้นผมก็โยนใส่มัน
หอกสีดำพุ่งไปที่ลำคอของมันทะลุเป็นหลุมอย่างสะอาดหมดจดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร ผลกระทบจากมันมีพลังมากจนผมสั่นสะท้าน ใช่เวทมนตร์นี้ความอันตรายมากจริงๆ ผมควรต้องระวังที่จะใช้มันซักหน่อยแล้ว

ผมคิดว่าผมได้พูดแล้วว่า ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมทรงพลังมีพลังมากขึ้นแค่ไหน นับตั้งแต่ที่ผมใช้เวทมนตร์กับ Green Slime ผมได้รับความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของมัน
แต่ความจริงที่ว่าผมสามารถฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ในทีเดียวแม้มันจะเป็นม้าสามเขา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันน่ากลัวมากแค่ไหน

ผมเข้าใจว่าพลังแห่งเวทมนตร์สามารถใช้ประโยชน์ได้จากการทดลองใช้ Green Slimes รวมถึงสิ่งอื่น ๆ แต่ความจริงที่ผมไม่ได้คิดถึงมัน คือการโจมตีด้วยเวทมนตร์ความตายแบบทันทีสำหรับมอนสเตอร์ระดับ ม้าสามเขา นี่มันน่ากลัวจริงๆใช่มั้ย?

ผมควรระวังเวทมนตร์ของตัวเองเอาไว้ซักหน่อยในขณะที่กำลังแล่ม้าสามเขา ยังอึ้งไม่หายกับเวทมนตร์ระดับนี้เลยแฮะ
ผมหั่นเป็นชิ้น ๆ ฉีกเกล็ดของมันแล้วกินและผมได้ทิ้งขาข้างหนึ่งไว้ให้คนอื่นกินด้วย

ความสามารถ [Armored Scale Formation] ได้เรียนรู้แล้ว

ความสามารถ [Strong Frame] ได้เรียนรู้แล้ว

ความสามารถในการเรียกเกล็ดบนร่างกายของผมมันมีประสิทธิภาพมาก แต่พอใช้แล้วมันดูแย่แปลกๆแฮะ ผมจึงทดสอบใช้มันแค่ครั้งเดียว เกล็ดที่เรียกมาก่อตัวขึ้นมาปกคลุมตามแขนของผมแล้วกลายเป็นสีดำ เหวอออ มันไม่ควรเป็นสิ่งที่แสดงให้คนอื่นเห็นจริงๆ น่าเกลียดมากๆ

ในชั่วพริบตาผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมกลายเป็นจิ้งจก แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ดีตราบเท่าที่คุณสามารถใช้มันได้ แต่ตามที่คาดไว้ลักษณะที่ปรากฏที่แขนของผมนั้นมันยากที่จะทำใจได้เล็กน้อย

ผมเริ่มเดินไปหาเหยื่อใหม่เพื่อแก้ไขอารมณ์ของผม
คราวนี้เจอ Green Slime ผมทอดจนมันกลายเป็นกรอบแล้วจับมันโยนไปในปากของผม

ความสามารถ [Metamorphosis] ได้เรียนรู้แล้ว

ผมสามารถที่จะเปลี่ยนแขนเป็นแส้ได้ คุณเห็นไหมเมื่อพูดถึง Green Slimes มันเป็นก้อนที่ทำจากน้ำมูก ดังนั้นพวกคุณน่าจะเข้าใจได้ง่ายถ้าดูจากลักษณะตัวของพวกมัน

แล้วความสามารถนี้ ถึงแม้ว่าผมจะมีกระดูกผมสามารถใช้ความสามารถนี้ให้ย้ายร่างกายของผมในลักษณะเดียวกับน้ำเมือก 
ผมยังสามารถเปลี่ยนร่างของผมให้กลายเป็นรูปแบบที่คล้ายเหมือนกับเมือกและเพื่อทดสอบผมห่อหุบกระต่ายไว้ในร่างกายของผมโดยใช้ [Self Body-Fluid Control] 

ผมเปลี่ยนของเหลวในร่างกายเป็นกรดและกินเจ้ากระต่ายเป็นอาหาร

นอกจากนี้ถ้าผมเปลี่ยนแขนขาของผมลงในรูปแบบเมือกก่อนที่จะได้รับการโจมตีและเอาส่วนที่ได้กลืนเข้าไปในร่างกายของผนหลังจากนั้นดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ อาจมีข้อจำกัดบางอย่างแม้ว่าผมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ยอดมากความสามารถนี้เกือบจะเหมือนกับการโกง ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกไม่ดีเมื่อได้รับความสามารถที่เป็นประโยชน์ แต่ผมควรระมัดระวังในสิ่งนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ

วันนี้ผมเริ่มพอใจกับสิ่งที่ได้รับ ในขณะที่กำลังเตรียมตัวกลับ ผมได้เผชิญหน้ากับมันเข้า 


มันเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยขนสีแดง นี่มันหมีแดงที่มาพร้อมกับเพลิงขนาดใหญ่ ?

จากการประเมินอย่างรวดเร็วขนาดมันยาวกว่า 4 เมตร คุณสามารถบอกได้ว่า Red Bear อันตรายแน่นอนจากรูปลักษณ์ที่มองจากระยะไกล การดำรงอยู่ของมันเหมือนกับเป็นผู้ล่ามาแต่กำเนิด

ผมสงสัยว่าง้าวของผมสามารถตัดผ่านหนังสีแดงของมันได้มั้ย

มันเป็นการเดิมพันเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหนาๆของมันจะต้องโดนผมสับจนเละ

ปกติแล้วจะต้องวิ่งหนีแน่นอนหลังจากเจออะไรแบบนี้ครั้งแรก แต่ทางเลือกเดียวของผมตอนนี้คือการเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน

แต่ก่อนหน้านั้นต้องเตรียมตัวเล็กน้อยผมรีบไปซ่อนตัวและเริ่มหาวิธีที่จะกำจัดมัน
แม้ว่าผมไม่ได้ต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่เป็นอันตรายถึงระดับนี้ตั้งแต่ตอนแรก

แต่ผมก็ได้ต่อสู้และฆ่าตัวที่อันตรายมามากขึ้นก่อนหน้านี้และทุกครั้งก็จบลงที่ผมฆ่าและกินพวกมัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่ผมอยากจะต่อสู้กับเจ้าตัวประหลาดนี่ตั้งแต่แรกก็ได้นะ (มั่นใจในฝีมือสุดๆ)

ผมต้องการที่จะได้รับความสามารถและกินมันอาจกล่าวได้ว่าสัญชาตญาณการต่อสู้ของผมถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นแล้ว!!

ดีล่ะ! กับความรู้สึกเช่นนี้ผมเตรียมพร้อมที่จะใช้ทุกอย่างที่ผมครอบครองมาเพื่อฆ่า Red Bear 

ดังนั้นการต่อสู้ที่ดุเดือดจึงเริ่มขึ้น !!





แปลโดย : Shiba Inu