อย่างแรกมีฮ้อบก้อบลินเพิ่มขึ้น 8 ตัว สองตัวในนั้นเป็นคลาสนักเวทย์ และอีกหนึ่งเป็นคลีลิค
คนที่เป็นคลีลิคเป็นเพื่อนสนิทกับก้อบจิคุงดังนั้นเขาจะถูกดึงเข้าไปอยู่ทีมคลีลิค จำนวนนักบวชที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ผมดีใจจนเผลอยิ้มออกมาเลย
ถัดไปคือ ก้อบมิจัง เมื่อก้อบมิจังตื่นขึ้นมาวันนี้เธอก็กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เรียกว่า [Dhampir - Variant (แดมเพียร์สายพันธุ์พิเศษ)] การเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ปรากฏของเธอไม่ได้เทียบได้กับเวลาที่เธอเปลี่ยนจากก้อบลินเป็นฮ้อบก้อบลินหรือบางทีผมควรจะพูดว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเปรียบเทียบพวกเขา
เธอมีความสูงอย่างน้อย 180 เซนติเมตรกับร่างกายที่มีเสน่ห์เอวแคบเน้นโดยทรวงอกของเธอขยายจนคุณคิดว่าจับยังไงก็ไม่หมดแน่ๆ ดวงตาที่สวยงามเหมือนดวงจันทร์ยิ่งกว่าเอลฟ์ มีผมสีเงินแวววาวที่ไหลลงมาถึงเอวผิวสวยและดวงตาสีแดงกับนัยตาสีทองวาว
เธอยังได้รับความสามารถ [God of Ice’s Divine Protection] เป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดการกับน้ำแข็งได้เป็นจำนวนมาก จากที่ปู่ก้อบลินอ้างอิงถึงพรของ [God] จะอยู่เหนือระดับของ [Demigod] มันหายากมากถึงแม้เมื่อเทียบกับพรที่หายากที่ก้อบคิจิคุงครอบครองก็ตาม
นอกจากนี้ยังยากที่จะจินตนาการรูปร่างที่อ่อนช้อยของเธอ พลังและความว่องไวของเธอแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ผมกล้าพูดได้เลยว่าถ้าเธอจับคู่กับก้อบคิจิคุงแล้วล่ะก็คงเหนือกว่าผมเป็นไหนๆ
แม้จะได้รับพรจาก [God] แต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณของแวมไพร์จะอ่อนแอต่อดวงอาทิตย์แต่เพราะเธอเป็น [Dhampir-Subspecies] เธอจึงไม่มีจุดอ่อนนี้อีกต่อไป
ก้อบมิจังตอนนี้ได้กลายเป็นคนที่สวยไร้ที่ติ คุณคงนึกภาพออกสินะจากที่เล่ามาตั้งมากมาย แต่รูปร่างของเธอมันช่างเย้ายวนผมจนละสายตาไม่ได้เลย ผมรู้สึกเหมือนผมเคยเห็นหน้านั้นที่ไหนสักแห่งมาก่อน ... เหมือนใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็กซักคนนึง
ตอนนี้ไปต่อกันที่ ก้อบเอะจัง
ก้อบเอะจังเปลี่ยนมาเป็นสายพันธุ์ของ [Lord] ที่เรียกว่า [Half Earth Lord] เธอไม่ได้มาจากพันธุ์พิเศษ เธอมีความสูงอย่างน้อย 240 เซนติเมตร ใกล้เคียงกับความสูงของผมและมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เธอมีเขาขนาดใหญ่สองอันที่ยื่นออกไป 20 เซนติเมตรและโค้งย้อนกลับไปที่กลางหน้าผากของเธอ เธอมีผมสีเหลืองสั้นและตาเหมือนอัญมณีโกเมน ผิวของเธอดูแน่นแต่ก็ยังนุ่มเหมือนผู้หญิง หน้าอกของเธอเปรียบได้กับขนาดของแตงโม แต่มีรูปร่างที่ดีขึ้น สุดท้ายเธอมีหินสีเหลืองเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณห้าเซนติเมตรฝังอยู่ที่ท้องของเธอเช่นเดียวกับภายใต้ข้อศอกทั้งเธอ เป็นหินชนิดเดียวกับเมื่อตอนที่ฮ้อบเซย์กลายเป็นคลาส Lord หินเหล่านี้เรียกว่า "Ogre Orbs" ถูกฝังอยู่ในร่างกายของ Lord และมีความสามารถลักษณะตามสายพันธุ์ของพวกมัน
ความสามารถของสายพันธุ์ของเธอโดยทั่วไปช่วยในการจัดการกับผืนดิน หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ ความสามารถ [Complete Geological Comprehension] ช่วยให้เธอสามารถมองเห็นจุดเปราะของหินได้
เธอลองทดสอบความสามารถโดยการขุดด้วยมือเปล่า มันช่างเหมือนกับเธอกำลังใช้สว่านขุดเจาะถ้ำและพื้นโดยรอบ เธอขุดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนับตั้งแต่ที่เธอได้รับพลั่วตอนสมัยเป็นฮ้อบก้อบลิน ด้วยความสามารถตอนนี้เราสามารถทำเหมืองแร่และหาหินวิญญาณได้เร็วขึ้นกว่าที่เคย ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอยังสามารถใช้เวทมนตร์จากสายฟ้าซึ่งบางครั้งอาจมีประโยชน์ในระหว่างการทำเหมืองเพื่อหาแร่ได้หลากหลายยิ่งขึ้น
ส่วนในการต่อสู้ของก้อบเอะจัง ก็ไม่มีอะไรมากหรอกเธอสามารถทำลายหินด้วยมือเปล่าได้ คุณลองจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากสิ่งที่มีชีวิตอยู่ถูกจับและฟาดด้วยแรงของเธอดู ถ้าหากร่างกายอ่อนแอกว่าหินนี่ได้กลายเป็นก้อนแป้งเปียกแน่ๆ (น่ากลัวโคตรร)
ตอนนี้ย้ายทางด้านฮ้อบซาโต้
เพราะ ฮ้อบซาโต้ ใช้ดาบได้ดีมาโดยตลอด เธอจึงกลายเป็น [Lord] เธอกลายเป็น [Half Bloody Lord] แต่เหมือนกับก้อบเอะจังคือเป็นสายพันธุ์ปกติไม่ใช่พันธุ์พิเศษ
เธอสูงสองเมตรมีกล้ามเนื้อชัดเจน มีหน้าอกนิดหน่อยและตรงกลางหน้าผากของเธอมีทับทิมที่ยาว 15 เซนติเมตรที่ยื่นออกมา เธอมีนัยตาเหมือนสีแสดคาเนลเลี่ยน สีผิวอมแดงเล็กน้อยและผมสีแดงเลือดยาวที่ถูกผูกไว้โดยเชือกเป็นหางม้า เธอยังมี Ogre Orbs สีแดงสองเม็ดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางห้าเซนติเมตรฝังอยู่ในมือของเธอ [หมายเหตุ: carnelian เป็นอัญมณีสีน้ำตาลแดง]
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้แต่ความสามารถทางกายภาพของเธอก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าสายพันธุ์ [Bloody Lord] จะเก่งในการสู้รบในระยะประชิด คือสายพันธุ์ของเธอนั้นจะใช้เลือดเป็นหลักโดยการเก็บเลือดของฝั่งตัวเองหรือฝั่งศัตรูมาใช้เป็นอาวุธได้
ถ้าเรากำลังพูดถึงความสามารถในการต่อสู้โดยตรงเพียงอย่างเดียวเธอน่าจะอยู่ในอันดับที่สามหรือสี่ในกลุ่มของเราและแน่นอนว่าจะอยู่ในห้าอันดับแรก แม้ว่าเธออาจจะตามหลังก้อบคิจิและก้อบมิจังในแง่ของพลังกายแต่ในการสู้รบแล้วผมคิดว่าใกล้เคียงกันพอสมควร
แต่ไม่ว่าใครก็ตามดูเหมือนทุกคนจะมีรอยสักสีดำแบบเดียวกับผมหมดเลย ผมคงไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขามากนักเพราะดูเหมือนจะมีพลังเอ่อล้นออกมาจากรอยสักมากมาย
เกิดเป็นสี่จตุรเทพสาวแห่งกองทัพก้อบลิน
เพื่อเป็นการฉลองการเลื่อนระดับของพวกเขา ผมได้มอบไอเทมเวทมนต์คนละ 2 อย่างให้แก่พวกเขา
ก้อบมิจังได้รับชุดสีฟ้าและสีขาวทำด้วยเวทมนตร์ดำและผูกไว้กับด้ายเหล็ก อีกทั้งยังมีแว่นตาที่เข้ากับลักษณะและความสามารถเฉพาะของเธอด้วย [Eyes of Bewitchment] แว่นตานี้จะทำงานเพื่อผนึกผลกระทบของความสามารถในสายตาของเธอ เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรมองเข้าไปในดวงตาของเธอนานเกินไป ผมยังให้ดาบเครย์มอ [Drop of Moonlight] ตัวดาบคล้ายกับชิ้นงานศิลปะที่ทำจากคริสตัลน้ำแข็งทั้งเล่ม
ก้อบเอะจังได้รับ 2 อาวุธชิ้นใหม่นั่นก็คือ [Earth Goddess War Pick] และ [Earth Goddess Shovel] ขนาดใหญ่ เป็นชุดเซ็ดขนาดใหญ่ที่เหมาะกับขนาดตัวของเธอ เพราะเสื้อผ้าเก่าของเธอไม่ค่อยดีแล้ว ผมจึงให้ชุดใหม่แก่เธอที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนระดับเมจิคไอเทมและผ้าเช็ดตัวใหม่ที่ทำจากด้ายของฉันเพื่อเช็ดเหงื่อจากการทำงานอย่างหนักของเธอ
ส่วนฮ้อบซาโต้ ผมได้มอบชุดเวทมนตร์สีแดงที่มีเหล็กแหลมสีแดงทิ่มแทงออกมาตามตัวด้วยเหมาะสำหรับการโจมตีทางกายภาพและเวทมนตร์ อย่างสุดท้ายผมได้มอบดาบยาว [Blood Princess] ซึ่งสามารถดูดเลือดศัตรูที่ถูกโจมตีได้ แต่ดูเหมือนจะแทบไม่ค่อยจำเป็นกับความสามารถของเธอเท่าไหร่
สำหรับผู้ที่พัฒนาเกินกว่าฮ้อบก้อบลินผมได้มอบกำไลข้อมือที่มีความสามารถในการเก็บไอเทมให้อีกด้วย
ก้อบมิจังมีลักษณะเป็นลูกสาวของขุนนาง เธอไม่ได้ดึงซิปไปด้านหน้าตลอดจนปลดปล่อยส่วนที่เหลือของเธอ ถึงแม้เราจะมีการเลื่อนระดับกันมากมาย แต่เราก็ยังเรียกชื่อตามชื่อเก่าของเราเช่น ก้อบโรว,ก้อบคิจิคุงและอื่น ๆ และมันเริ่มรู้สึกแปลกๆแล้วล่ะ
ดีล่ะ พวกเราไม่ใช่ก้อบลินอีกต่อไป
ผมปรึกษาปู่ก้อบลินเรื่องชื่อและนี่คือสิ่งที่เขาบอกว่าชื่อของเราจะเป็น:
- ก้อบโรว → ออก้าโรว
- ก้อบคิจิ → ออก้าคิจิ
- ก้อบมิจัง → แดมมิ
- ก้อบเอจัง → อาสุเอะ
- ฮ้อบเซย์ → ซุปเซย์
- ฮ้อบซาโต้ → บุราซาโต้
- ก้อบจิคุง → ฮ้อบจิ
- ก้อบฟู → ฮ้อบฟู
- และคนอื่นๆ
บุคคลที่เคยเลื่อนระดับแต่ละคนได้รับชื่อใหม่ แม้ผมจะไม่ได้คาดหวังว่าปู่ก้อบลินจะตั้งชื่อได้ดี แต่มันก็ไม่ได้แย่มากเกินไป
นอกจากนี้ยังมีคำถามอื่นๆที่สงสัยอยู่อีกเช่น ถ้าคุณจัดอันดับความเก่งของแต่ละสายพันธุ์ก็จะสรุปได้ดังนี้:
Dhampir ≧ Half Spell Lord = Half Earth Lord = Half Bloody Lord ≧ Ogre ≧ Elf > Kobold Foot Soldier > Kobold = Hobgoblin = Human > Goblin.
รายการนี้เป็นเพียงการพิจารณาการกำลังรบของพวกเขาอย่างเดียวไม่ได้นับรวมความสามารถอื่นๆและอาวุธ โอเกอร์สามารถเอาชนะในการแข่งขันกับพวกฮาล์ฟลอร์ดในแง่ของความแข็งแรงทางกายภาพ แต่น่าเสียดายที่สติปัญญาของพวกเขามักจะต่ำกว่าดังนั้นกลยุทธ์ของพวกเขาค่อนข้างง่ายและอ่อนลงตามไปด้วย
ตอนนี้มาต่อเกี่ยวกับเอล์ฟและโคโบลด์
ผมตัดสินใจที่จะไม่กินโคโบลด์เพราะพวกเขาต้องการที่จะเข้าร่วมกับเรา ดีเลยแม้ว่าถึงผมจะกินพวกเขาพวกเขาอีก แต่ก็สามารถไม่เสริมความสามารถของผมเพิ่มเติมใดๆ ดูเหมือนว่าการพาพวกเขาไปมารอบๆก็ไม่มีปัญหาใดๆเพราะความภักดีของพวกเขานั้นเป็นของจริง ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งที่โคโบลด์จะเป็นต่อไปหลังจากเลื่อนระดับ มีเหตุผลมากมายที่จะสมมติว่ามันอาจกลายเป็นสิ่งที่หลากหลายไปจากเดิม อย่างไรก็ตามการมีลูกน้องที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระและชำนานทางในป่าในอนาคตพวกเขาจะเป็นทรัพยากรที่ดี
พูดถึงสงครามระหว่างมนุษย์กับพวกเอลฟ์ ผมรู้ว่าพ่อเอลฟ์จะขอความช่วยเหลือจากผม ผมแน่ใจว่าผู้ส่งสารจะมาที่นี่เร็วๆ นี้ ถ้าพวกเขาทำตามคำขอผมก็จะยอมรับข้อเสนอ
สงครามขนาดใหญ่จะทำให้ผมมีโอกาสได้รับความสามารถใหม่และแข็งแกร่งขึ้น ผมยังสามารถได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับยุทธวิธีทางทหารและวิธีการรบในโลกนี้ นอกจากนี้ยังจะเสริมสร้างความผูกพันกับพวกเอฟล์และเป็นเรื่องง่ายขึ้นที่จะได้รับไวน์จากพวกเอลฟ์มาดื่มอีก
ให้ตายสิไวน์นั่นมันอร่อยเป็นบ้าเลย !!
ด้วยเหตุนี้การมีสมุนจำนวนมากสามารถช่วยเหลือได้หลายวิธีเช่นการจับมนุษย์เข้าไปในกับดักการสร้างค่ายทหารหรือการโจมตีทีเผลอและการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ผมสามารถใช้ในสงครามได้ นี่คือเหตุผลที่ผมตัดสินใจที่จะไม่ฆ่าพวกเขาและทำให้พวกเขากลายเป็นลูกสมุนแทน แน่นอนว่าไม่มีทางที่ผมจะเชื่อถือพวกเขาได้เต็มที่ ภายในกลุ่มของพวกเขามีเพียงไม่กี่ที่ผมไว้ใจอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นผมจึงสร้างหลักประกันให้กับพวกโคโบลด์ทุกคนไว้ที่กำไลข้อมือด้วยความสามารถจากสกิล [Enslave - สร้างทาส] ด้วยเหตุนี้จะทำให้ไม่ต้องกังวลว่าพวกโคโบลด์ตจะต่อต้านผมในระหว่างการต่อสู้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามยังไงก็ไม่มีประโยชน์
กำไลข้อมือเหล่านี้ถูกมอบให้แก่เอลฟ์ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการสำเร็จความไคร่และการเพาะพันธุ์ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ได้รับการปรับปรุงด้วยทักษะ [Conceal - การปกปิดตัวตน] ผมได้เสริมพร้อมกับ [Enslave] และหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นกับเอลฟ์คนอื่นด้วยการใช้ [Conceal] ทำให้เอลฟ์คนอื่นมองเอลฟ์ของผมเป็นเผ่าพันธุ์อื่น
ดูเหมือนว่าในวัฒนธรรมเอลฟ์นั้นการเจาะหูของพวกเขาเพื่อใส่เครื่องประดับเป็นสิ่งต้องห้ามและอาจถูกเนรเทศออกไป ด้วยเหตุนี้เองที่เป็นทาสเอลฟ์ของผมจึงได้ถูกตัดใบหูครึ่งหนึ่งและทำการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้บนใบหูของพวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่พยายามที่จะปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน
เอาล่ะ
ก่อนหน้านี้ออก้าคิจิคุงกำลังขอคำแนะนำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับอาสุเอะจัง ดังนั้นผมจึงทำให้เขาทดลองกับเอลฟ์ชายก่อน ผมบอกเขาว่า "ลองทำแบบนั้นกับเอลฟ์ชายก่อนละค่อยไปลองของจริง" ขณะที่เฝ้าดูพวกเขา ผมมั่นใจแล้วว่ามันจะไม่ไปทำลายความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง
พวกเอลฟ์ที่ถูกคุมขังอยู่จนถึงขณะนี้ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องขังของพวกเขา
ผมปล่อยให้พวกเขามีส่วนร่วมในการฝึกกับโคโบลด์และคนอื่นๆ การใช้พวกเอลฟ์เพียงเพื่อการมีเซ็กส์และการผสมพันธุ์ก็ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเอลฟ์ที่จะตั้งครรภ์ดังนั้นตัวเลขที่จะมีเสถียรภาพมากที่สุดคือเกิดจากมนุษย์ผู้หญิง ตอนนี้ผมไม่ต้องกังวลเรื่องการไม่เชื่อฟังคำสั่งและการผสมพันธุ์ในอนาคตจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าเราจับมนุษย์บางคน
พวกเอลฟ์ที่ออกจากคุกเป็นครั้งแรกดูมีความสุขมากเกี่ยวกับเสรีภาพของพวกเขา ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์ของพวกเขาบ้างก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
ตอนนี้ถึงเวลาในการฝึกอบรมผู้มาใหม่ เรากำลังทำงานเพื่อให้สามารถจัดระเบียบได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มความอดทนของพวกเขา เป็นประเภทของการฝึกขั้นพื้นฐานแบบเดียวกับที่ ออก้าคิจิ และ ก้อบลินคนอื่นๆเริ่มต้น อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับโคโบลด์ แต่เอลฟ์เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมสามารถก้าวกระโดดข้ามการฝึกขั้นพื้นฐานไปได้ คนที่รู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีปัญหา แต่ก็มีคนอื่นๆ ที่ต้องการทำงานมากกว่าหนึ่งหรือสองอย่าง
การฝึกอบรมยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าพวกเขาจะไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป
หลังจากที่พวกเขาหยุดพักแล้วไม่มีโคโบลด์คนใดโดดเด่นในหมู่พวกเขาที่จะสามารถได้รับเลือกให้เป็นผู้บังคับบัญชาได้เลย พวกกอบลินจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้างานสอนกลุ่มใหม่นี้เพื่อใช้แนวคิดและวิธีการให้การสนับสนุนด้านหลังที่มีประสิทธิภาพในการรบ
คนที่ยังคงอยู่ตอนนี้คือโคโบลด์เด็กและเอล์ฟพวกเขาได้รับบทเรียนการต่อสู้เพิ่มเติมผ่านการซ้อมต่อเนื่อง ผมไม่อยากให้พวกเขาพ่ายแพ้ต่อ ออก้าคิจิหรือแม้แต่ ก้อบลิน, ฮ้อบก้อบลิน,เอลฟ์หรือโคโบลด์คนอื่นๆ
การฝึกอบรมนี้ก็จะเป็นแบบทดสอบ จะมีเอลฟ์และโคโบลด์ต่อสู้กับโครงกระดูกที่ผมสร้างขึ้นมาด้วย [Lesser Summoning: Undead]
ผมสามารถสร้างพวกมันเกือบจะไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นจึงไม่มีความเสี่ยงใดๆเกิดขึ้นและได้จะได้ประสบการณ์ถ้าพวกเขาเอาชนะมันได้ ส่วนชิ้นส่วนกระดูกที่เหลือสามารถนำไปทำอุปกรณ์และแปรรูปได้หลายอย่างอีกด้วย การฝึกถูกจัดขึ้นในถ้ำที่มืดเล็กน้อย แต่เพราะเป็นช่วงกลางวันพวกอันเดดจึงอ่อนแอลงมากกว่าเดิม
พวกอันเดดผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ราวกับภาพลวงตา ครั้งสุดท้ายที่ผมเรียกเกิดบางอย่างไม่คาดคิด โครงกระดูกร่างใหญ่สีดำซึ่งแตกต่างจากโครงกระดูกทั่วไปที่ถูกเรียกตามปกติโครงกระดูกสีดำที่ถูกเรียก ตัวสูง 2 เมตรสวมเสื้อคลุมสีดำแบบเกราะและแผ่นเกราะเต็มรูปแบบซึ่งปกคลุมทั้งร่างกายด้วยโลหะที่ดูคมและดุร้าย ถือดาบขนาดใหญ่และโล่สีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโครงกระดูกระดับสูงที่สุดที่ผมเรียกมา
ผมได้ตรวจสอบมันอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการใช้ [Lesser Summoning: Undead] นั้นขึ้นอยู่กับระดับของผู้ใช้ ผมคิดคำที่เหมาะสมในการเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า Black Skeleton Knight อัศวินโครงกระดูกสีดำเผชิญหน้ากับเอลฟ์ที่มีดาบสั้นมิธริลและโล่แต่ก็ยังได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่ามันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งการเคลื่อนไหว การฟันการป้องกันด้วยโล่ ผมต้องยอมรับเลยว่าพวกมันยอดเยี่ยมมากๆ
พวกมันไม่รู้จักเหนื่อยล้าและสามารถใช้เข้าไปปะทะในสงครามได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งอาวุธและอุปกรณ์สวมใส่ยังอยู่ในระดับดีเยี่ยมซึ่งถ้าหากพวกมันถูกทำลาย อาวุธและชุดเกราะจะจางหายไปราวกับหมอกคล้ายกับทักษะ [Greater Equipment Materialization] หรือ [Equipment Materialization] เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครสามารถนำอาวุธพวกมันมาใช้ต่อได้
แม้จะเทียบกับเอลฟ์ พวกมันไม่มีความแตกต่างทางด้านทักษะมากนักแต่สุดท้ายก็ถูกทำลายลงเนื่องจากความต่างทางกายภาพ
ใช่แล้วผมคิดวิธีเพิ่มประสบการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม การได้รับประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ ผมได้จัดการเรียก Black Skeleton Knight ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและให้พวกมันถูกจัดการง่ายๆเพื่อให้คนอื่นได้รับประสบการณ์ แต่ประสบการณ์ที่ได้รับลดลงอย่างต่อเนื่องขณะที่พวกมันแพ้ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไม
ต่อมาในช่วงเย็นผมก็ยังคงยุ่งอยู่กับการทดลอง [Lesser Summoning: Undead] เช่นเดิม.....